ตลาดโลกช็อก “กยท.จับมือเครือข่ายฯ” เลื่อนกรีดยางออกไป 1 เดือน ดันราคายางขึ้นยกแผง

News

ราคายางพุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศ – ตลาดโลกตื่นตระหนกหลังประกาศเลื่อนฤดูกาลกรีดยาง

ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงสถานการณ์ราคายางพาราประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ว่า ราคายางทุกชนิดมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (ไม่อัดก้อน) ปรับขึ้นมาถึง 70 บาทต่อกิโลกรัม ยางแผ่นดิบคุณภาพดี (ความชื้นไม่เกิน 3%) ปรับขึ้นมา 68 บาทต่อกิโลกรัม น้ำยางสดราคาปรับขึ้นมา 58.75 บาทต่อกิโลกรัม ยางก้อนถ้วย (DRC 100%) ราคาปรับขึ้นมา 58 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 70%) ราคาปรับขึ้นมา 40.60 บาทต่อกิโลกรัม

ปรากฏการณ์ราคายางพาราที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศนี้ เป็นผลโดยตรงมาจากความร่วมมือระหว่างการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และคณะกรรมการเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง ที่ได้ออกมาตรการขอความร่วมมือให้เกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศเลื่อนฤดูกาลเปิดกรีดยางออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมที่จะเริ่มกรีดในเดือนพฤษภาคม 2568 เป็นเดือนมิถุนายน 2568 มาตรการนี้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อตลาดยางพาราโลก เนื่องจากจะทำให้ผลผลิตยางหายไปจากระบบตลาดโลกไม่ต่ำกว่า 3 แสนตัน

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและมูลค่าการสูญเสียที่นำไปสู่การปรับตัวของราคา

หากคำนวณมูลค่าผลผลิตยางพาราชนิดแผ่นรมควันชั้น 3 (ไม่อัดก้อน) ที่ราคากิโลกรัมละ 72.04 บาท (ตามข้อมูลจากการประกาศราคายางของฝ่ายเศรษฐกิจการยาง กยท. ณ วันที่ 3 เมษายน 2568) การเลื่อนการกรีดยางออกไปจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายยางพาราในตลาดโลกลดลงมากกว่า 14,400 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าว

การลดลงของอุปทานยางพาราอย่างฉับพลันนี้ได้สร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อสมดุลของตลาดยางพาราโลก ทำให้ผู้ค้ายางรายใหญ่ทั่วโลกเกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากเกรงว่าในอนาคตอันใกล้จะเกิดภาวะซัพพลายขาดแคลนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ค้าที่มีคำสั่งซื้อไว้ล่วงหน้าต้องเร่งดำเนินการสั่งซื้อและเก็บสต็อกยางพาราไว้เพื่อรองรับการส่งมอบตามสัญญา ปรากฏการณ์นี้ได้ส่งผลให้ตลาดยางพารากลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากที่ซบเซามาเป็นเวลานาน

นโยบายระดับกระทรวงเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ

ศาสตราจารย์ ดร.นฤมล ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาด้านราคายางพาราเพื่อคลายความกังวลของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ โดยยึดมั่นตามแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งมั่นในการถวายงานและสานต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควบคู่ไปกับการดูแลให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ที่ผ่านมา ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการติดตามสถานการณ์ผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาที่มีต่ออุตสาหกรรมยางพาราของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อศึกษาและทบทวนแนวทางการดำเนินงานให้มีความชัดเจนและทันต่อสถานการณ์ โดยรัฐมนตรีได้ย้ำว่า เมื่อมีมาตรการภาษีดังกล่าวออกมาแล้ว ในท้ายที่สุดย่อมต้องมีผู้รับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา หรือผู้ส่งออกและผู้รับซื้อในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง แต่กระทรวงมีจุดยืนชัดเจนว่า “ไม่ควรต้องเป็นพี่น้องเกษตรกรคนไทยที่เป็นผู้แบกรับภาระนี้อย่างแน่นอน”

มาตรการสนับสนุนเกษตรกรในช่วงเลื่อนการกรีดยาง

ในระหว่างที่มีการเลื่อนเปิดกรีดยางออกไป 1 เดือน ทางการยางแห่งประเทศไทยได้วางแผนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางอย่างเป็นรูปธรรม โดยเกษตรกรสามารถใช้เวลาในช่วงดังกล่าวเพื่อบำรุงรักษาต้นยางให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ และเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อถึงกำหนดเปิดกรีด

นอกจากนี้ กยท. ยังได้จัดให้มีการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนพัฒนายางพารา ตามมาตรา 49 (3) แก่สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผ่านโครงการสินเชื่อระยะสั้นสำหรับสถาบันเกษตรกรเพื่อจัดหาปัจจัยการผลิตในการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตยางพารา โดยสถาบันฯ สามารถกู้ได้ 1 สัญญา ในวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อสัญญา พร้อมทั้งให้สิทธิพิเศษในการปลอดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 4 เดือน ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อระยะสั้นดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพารา

ในส่วนของผู้ประกอบการ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยางที่รับซื้อยางพาราโดยการช่วยเหลือชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ทั้งนี้จะต้องมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นผู้ประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด

พร้อมกันนี้ ยังมีการวางแผนระยะยาวในการซื้อโรงงานผลิตยางล้อเพื่อรองรับผลผลิตยางพาราของเกษตรกรไทยมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยดึงอุปทานผลผลิตยางออกจากตลาด และเป็นการยกระดับคุณภาพสินค้าผลิตภัณฑ์ยางพาราให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและการตลาดใหม่ๆ โดยส่งเสริมให้มีการพัฒนาแบรนด์สินค้ายางพาราเป็นของการยางแห่งประเทศไทยโดยเฉพาะ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

สถานการณ์การเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อตลาดยางพารา

ในขณะเดียวกัน สถานการณ์การเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดยางพาราโลก โดยมีไทม์ไลน์สำคัญดังนี้ ในวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศ “วันปลดแอก” ซึ่งกำหนดให้มีการเก็บภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากทั่วโลก และยังได้มีการเพิ่มภาษีพิเศษสำหรับสินค้าที่นำเข้าจาก 57 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม ต่อมาในวันที่ 9 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าวออกไปเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2568 การชะลอการเก็บภาษีนี้ได้ส่งผลให้ตลาดโลกมีเวลาในการปรับตัวและวางแผนรับมือกับมาตรการดังกล่าวมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงสร้างความไม่แน่นอนต่ออุตสาหกรรมยางพาราโลกในระยะยาว

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลกได้ดำเนินมาตรการเลื่อนฤดูกาลกรีดยางออกไป 1 เดือนดังกล่าว นับเป็นการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนของตลาดโลก และยังเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรชาวสวนยางไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ราคายางพารายังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานยางพาราทั้งหมด